ทำแบรนด์เสื้อผ้าตัวเอง ใช้งบเท่าไหร่
หลายคนคิดจะทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง ต้องใช้งบเท่าไหร่ วันนี้ ทาง Jawydress Pattern จะมาลองทำงบคร่าวๆ ให้สมาชิกได้เห็นกันค่ะ ว่าหากอยากจะแบรนด์ เราต้องคำนึงถึงต้นทุนด้านไหนบ้าง มาดูกันค่ะ ท้ายบทความจะมีตัวอย่างเป็นงานกระโปรงเบสิคให้ดูงบคร่าวๆ นะคะ
1. ค่าออกแบบ
ส่วนใหญ่คนทำเสื้อผ้า ก็มักจะเริ่มต้นด้วยการเลือกแบบที่ชอบจากรูป หรือเลือกเอาเสื้อผ้าที่เราชอบมาทำ ก็มักจะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนของการออกแบบ แต่หากอยากทำเป็นคอลเลคชั่น หรือธีมงานก็อาจจะต้องมีการจ้างดีไซน์เนอร์ ก็จะมีค่าดีไซน์แบบเสื้อผ้าและแพนโทนสีของแต่ละคอลเลคชั่น
หากต้องการลายผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ ก็จะมีค่าออกแบบลายผ้า ค่าลงลายผ้า ค่าพิมพ์ผ้า ค่าทำแพทเทิร์นเป็นไฟล์ เป็นต้นทุนเพิ่มเข้ามา
2. ค่าแพทเทิร์น
ค่าแพทเทิร์น ราคาเฉลี่ย จะอยู่ที่ 200-2,000 บาทต่อแบบต่อไซส์ ขึ้นอยู่กับแบบและความซับซ้อนของงาน หรือเกรดเสื้อผ้าที่เราเลือกทำการตลาดค่ะ ว่าจะมีซับในหรือไม่มี ถ้ากลางๆ ก็ตั้งงบไว้ที่ ไม่เกิน 500 ต่อแบบต่อไซส์ก็ได้ค่ะ
3. ค่าผ้าและวัสดุที่ใช้ในการตัดเย็บ (ผ้าซับใน, ผ้ากาว, ด้าย, กระดุม, ซิป, ลูกไม้, อะไหล่ต่างๆ, ลาเบลยี่ห้อ, ลาเบลไซส์, ป้ายห้อย)
มาถึงตรงนี้ จะมี 2 ทางเลือกค่ะ คือ คุณ เตรียมผ้า และวัสดุในการตัดเย็บเองทั้งหมด กับใช้บริการโรงงานหรือร้านที่รับตัดเย็บให้เตรียมให้ค่ะ (หากร้านที่คุณเลือกมีบริการตรงนี้ด้วย)
การเตรียมผ้าและวัสดุในการตัดเย็บเอง จะทำให้คุณเพลิดเพลินและมีความสุขกับการเลือกผ้าและของที่จะนำมาใช้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราต้องตั้งงบ เพื่อไม่ให้งบประมาณบานปลาย ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าของเรามีราคาสูงตามไปด้วย หากคุณขายในตลาดบน อาจจะไม่มีปัญหา แต่หากคุณอยากขายในราคากลางๆ หรือราคาส่ง อาจจะทำให้เกิดปัญหาขายไม่ออกได้ค่ะ หากต้นทุนสูงแล้วทำให้สินค้ามีราคาสูงเกินกว่าที่กลุ่มลูกค้าของคุณจะซื้อไหว และอย่าลืม คิดต้นทุนแฝงเช่นค่าเดินทาง ค่าขนส่งด้วยนะคะ
ใช้บริการร้านตัดเย็บหรือโรงงาน โดยให้ทางร้านหรือโรงงานจัดหาให้ ข้อดีคือ คุณแค่บอกสิ่งที่คุณต้องการ เช่น เกรดเสื้อผ้าที่ต้องการผลิต สี เนื้อผ้าที่ต้องการ (เนื้อผ้า ปรึกษากับดีไซน์เนอร์ของโรงงานได้ค่ะ) ให้ทางร้านจัดหาให้ทุกอย่าง แต่จะมีค่าบริการตรงนี้เป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมา ซึ่งค่าใช้จ่ายตรงนี้ หากคุณมองในแง่ดี คุณจะเห็นเป็นตัวเงินที่จับลงไปในต้นทุนได้ ก็จะทำให้คุณคิดต้นทุนแฝงในการผลิตได้แม่นยำมากขึ้น
4. ค่าขึ้นตัวอย่างงาน
บางร้านหรือบางโรงงาน รับขึ้นตัวอย่างก่อนตัดให้ลูกค้าค่ะ โดยมากจะแนะนำให้ใช้ผ้าจริงในการขึ้นตัวอย่าง เพื่อให้เห็นภาพรวมของผลงาน หากใช้ผ้าที่ต่างกัน ผลงานอาจมีความคาดเคลื่อนกับสิ่งที่เราต้องการได้ค่ะ ถ้าตัวอย่าง OK แล้ว ก็จะเริ่มขั้นตอนการผลิตเลย
ร้านแพทเทิร์นบางร้าน ก็จะรับขึ้นตัวอย่างให้ด้วยเหมือนกันค่ะ แต่บางร้านก็จะรับทำแพทเทิร์นอย่างเดียว ซึ่งต้องเข้าใจว่า ช่างแพทเทิร์นบางคนอาจจะไม่ได้ถนัดงานผ้า หรือถึงทำได้ งานแพทเทิร์นก็ต่อคิวยาวเป็นหางว่าว อาจจะไม่สามารถไปโฟกัสงานผ้าได้ค่ะ
หากลูกค้าไปเจอร้านหรือโรงงานรับตัดที่ไม่รับขึ้นตัวอย่าง และจะต้องแนบตัวอย่างงานมาให้ก่อนตัด เราก็ต้องหาช่างมาตัดตัวอย่างงานให้ก่อนที่จะเริ่มผลิตค่ะ
5. ค่าตัดเย็บ
กว่าจะมาถึงขั้นตอนนี้ Jawydress Pattern เชื่อว่าสภาพจิตใจของคุณจะแข็งแกร่งมากขึ้น พร้อมที่จะต่อสู้ในตลาดทะเลแดงแล้วค่ะ อะไรก็ตามที่เข้ามา เราก็พร้อมฟันฝ่าแล้วค่ะ พร้อมแล้วก็ลุยเลยค่ะ
ค่าตัดเย็บส่วนใหญ่ จะขึ้นกับเกรดของเสื้อผ้าที่เราเลือก ปริมาณที่สั่งตัด ยิ่งสั่งมาก ราคายิ่งลด แต่สำหรับคนที่ทุนน้อย อาจจะมีปริมาณสั่งตัดน้อยหน่อย ก็จะได้ราคาต้นทุนต่อตัว แพงกว่าคนที่สั่งเยอะๆ ก็ต้องใช้วิธีทำการตลาดในแนวทางที่ นำเสนอสินค้าให้คนรู้สึกพอใจที่จะจ่ายในราคานี้ แน่นอน เราต้องเก็บงานทุกตัวด้วยค่ะ สินค้าทุกชิ้นที่วางขายต้องมีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด เพราะงานขายที่ราคาสูง ก็ย่อมได้รับการคาดหวังที่สูงตามราคาไปด้วย ยิ่งขายออนไลน์ ถ้าสินค้าไม่ตรงปก โอกาสที่ลูกค้าจะรีวิวในแง่ลบก็จะมีสูงตามไปด้วย ทำให้ลูกค้าใหม่กลัวเรา ไม่กล้าซื้อ และแน่นอน การบริการต้องดีที่สุดด้วยค่ะ ถ้าลูกค้าพอใจ แพงแค่ไหนก็จ่ายค่ะ
นอกจากค่าตัด ในส่วนนี้ จะมีค่าใช้จ่ายแฝงอย่างอื่นด้วยนะคะ เช่น ค่าเผื่อสินค้าที่มีปัญหาจนไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น ใน 100 ตัว เราอาจจะคิดค่าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือขายไม่ออกไว้สัก 10 เปอร์เซ็นต์ หรือ 10 ตัว ซึ่งวิธีการจัดการกับสินค้ามีตำหนิ ก็ทำได้ไม่กี่วิธีค่ะ จะลดราคาขายเป็นสินค้ามีตำหนิ หรือส่งขายตลาดล่างในราคาถูก หรือคัดทิ้ง ก็แล้วแต่คุณจะเลือกจัดการแบบไหนค่ะ เหล่านี้ จะเป็นต้นทุนที่ไม่อาจจะได้กลับคืนมา หรือได้คืนมาไม่หมด ไม่ว่าคุณจะจัดการกับมันยังไง
6. ค่ารีด ค่าแพกสินค้า ค่าแพกเกจจิ้ง
ก่อนนำออกขาย ก็จะมีการเตรียมสินค้า ขั้นตอนนี้ ถึงแม้จะทำเอง ก็มีค่าใช้จ่ายแฝงเป็นค่าแรงของเราเองนะคะ สำหรับคนที่ขายออนไลน์ บางโรงงานที่รับตัด เขาจะรับรีดและแพกรวมถึงติดป้ายห้อยให้ด้วยค่ะ ถ้าไม่รับ ก็จะมีร้านที่รับรีด พับ แพกสินค้าให้เราค่ะ คนที่ขายหน้าร้าน ก็จะมีส่วนของถุงหรือแพกเกจจิ้ง ป้ายห้อย แล้วแต่เราจะออกแบบให้สินค้าเรามีภาพจำยังไงค่ะ บางร้านก็ใส่ถุงง่ายๆ ไม่ต้องคิดเยอะ ก็จะมีต้นทุนที่น้อยลง บางร้าน อยากสร้างภาพจำหรือซิกเนเจอร์ของแบรนด์ ก็จะมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ค่ะ
มาค่ะ มาดูตัวอย่างการคิดงบประมาณกันค่ะ
เบื้องต้น Jawydress Pattern ได้ลองประเมิน ว่าจะทำกระโปรงทรงเอ แต่งกระเป๋า จำนวน 4 ไซส์ 1 สี การตัดเย็บโดยช่างเทเลอร์ มีซับใน ใส่ซิปซ่อน ลองมาดูกัน ว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
ต้องออกตัวก่อนนะคะ ว่าข้อมูลที่ลงไว้ เป็นข้อมูลคร่าวๆ ราคาอาจเพิ่มลดจากนี้ได้อีก ขึ้นอยู่กับแบบ เกรดเสื้อผ้า ค่าใช้จ่ายหน้างานของแต่ละคน เอาเป็นว่า อ่านไว้เป็นข้อมูล แล้วกันงบให้พอ ดีกว่าขาด อย่างน้อย งบที่เกินมา เราก็เอาไปอัดโฆษณา หรือทำการตลาด จ้างนางแบบ หรืออะไรต่อมิอะไรได้อีกเยอะเลยค่ะ
ส่วนตัว ค่อยๆ ทำ ลงทุนครั้งแรก 5,000 บาท เพราะทำแพทเทิร์นเอง ขึ้นตัวอย่างเองค่ะ
ทำกระโปรงทรงเอ สีพื้น 4 ไซส์ ค่าตัด ช่างเทเลอร์ ทำคนเดียว ตกต้นทุนตัวละ 150 บาท งานใส่ซับใน ซิปซ่อน (ราคานี้ รวมค่ามือช่าง ค่าผ้า ค่าอะไหล่ ค่าขนส่งแล้ว)
มีค่าเข็มขัดสายหนัง ที่แถมลูกค้า ยังไม่รวมในต้นทุนการตัดนะคะ
ยกตัวอย่างอีกสักตัว วิธีคิดต้นทุน ครอปสายไหล่ผูก ใส่ยืดบนล่าง Fast Fashion และลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
1. แพทเทิร์น ไม่ใช้ ตัดผ้าสี่เหลี่ยมรูดเอา หรือทำแพทเทิร์นเองได้ง่ายๆ
2. สมมติว่า ทำไซส์ s-m ความกว้าง 9 นิ้วครึ่ง ใช้ผ้า 100 x 35 cm.
ผ้าหน้ากว้าง 60 นิ้ว (150 cm.) แสดงว่า 1 เมตร ทำได้ 4 ตัว
ผ้าที่เหลือทำสายผูกไหล่ หากใช้ผ้าไหมอิตาลี่สีพื้น ราคาปลีกเมตรละ 60 บาท 4 ตัว งบผ้าตกตัวละ 15 บาท
3. ค่าแรงเย็บ เย็บเอง ให้ตัวเอง ตัวละ 10 บาท (ไม่ชอบงานร้อยยางยืด +20 บาท เป็นกำลังใจให้ตัวเองค่ะ)
4. ค่าด้ายเย็บ ยางยืด ตกตัวละ 2 บาท (ถ้าใช้ริบบิ้นแทนทำสายผูกเอง ก็ +3 บาท)
5. ค่ารีด แพก 5 บาท
6. ต้นทุนแฝง (ค่าเช่าที่ ค่าจดโดเมน ค่าการตลาด น้ำ ไฟ เดินทาง)
คร่าวๆ ตอนนี้ ต้นทุนตัวละ 32 - 55 บาท + กำไรที่ต้องการ
ราคาคร่าวๆ ประมาณนี้ค่ะ
ข้อดีของช่างตามบ้านคือ ติดตามงานได้ง่าย ราคามิตรภาพ ไม่เน้นปริมาณ ไม่มีขั้นต่ำ ตัวเดียวก็ตัดให้ได้
ข้อเสียคือ ช่างทำคนเดียว หากช่างป่วย หรือติดเหตุขัดข้อง งานเราจะช้ากว่ากำหนด ให้บวกเวลาไว้ดีๆ รวมถึงทำสัญญาจ้างงาน และคุยเรื่องรอบการจ่ายเงินให้รัดกุมค่ะ
แปลว่า งานที่เหมาะกับการ ส่งช่างแนวนี้ ไม่ใช่งาน fast fashion หรืองานกระแส แต่เป็นงานที่ขายได้เรื่อยๆ ไม่ตกยุคค่ะ
ถ้ารับได้ ลองดูค่ะ
เรื่องแพทเทิร์น ทางนี้ ทำเองและสแกนเข้าคอมไว้ ก็พริ้นได้เรื่อยๆ หากต้องการเพิ่มโต๊ะตัด หรือเพิ่มช่าง เพื่อให้งานเร็วขึ้น
ซึ่งการสแกนแพทเทิร์น หรือการมีไฟล์แพทเทิร์นมาเก็บไว้ ก็มีข้อดี กรณีเพิ่มช่าง หรือกรณีเปลี่ยนช่างแล้วไม่ได้แพทเทิร์นคืน
หรือกรณีแพทเทิร์นเสียหาย แต่ยังต้องการทำแบบเดิมขาย ก็สามารถสั่งพิมพ์ใหม่ได้ค่ะ